การพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม : การพัฒนาครบทุกด้าน ทุกมิติ
เด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและเป็นอนาคตของชาติ ดังนั้น เด็กจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพตั้งแต่แรกเกิด และได้รับการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม หมายความว่า เด็กจะต้องได้รับการพัฒนาครบทุกด้าน ได้แก่ กาย ใจ จิต อารมณ์ สังคม สติปัญญา และจริยธรรม คุณธรรมหรือจิตวิญญาณ ไปพร้อมๆกัน โดยไม่ละเว้นด้านใดด้านหนึ่ง จึงเห็นได้ว่าการพัฒนาเด็กต้องอาศัยสหวิทยาการ ผสมผสานกับวิถีชีวิตของเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างครบถ้วน นอกจากนี้การพัฒนาเด็กเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ค่อยเป็นค่อยไป และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีการพัฒนาการเหมาะสมตามวัย
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก : กฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศในการปกป้องและคุ้มครองเด็กทั่วโลก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศที่องค์การสหประชาชาติ ได้ลงมติรับรองและบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ปัจจุบันมี 192 ประเทศ ได้ลงนามเป็นภาคีแล้ว รวมทั้งประเทศไทยที่ให้การรับรองเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2535
สิทธิเด็ก คือ สิทธิที่เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ยกเว้นผู้ที่แต่งงานถูกต้องตามกฎหมายก่อนอายุ 18 ปี จะได้รับการปกป้องและคุ้มครองและได้รับพัฒนาตามที่ได้บัญญัติไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเด็กและครอบครัวของเด็กให้ดีขึ้น
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มีทั้งหมด 54 มาตรา โดยมีหลักการสำคัญที่คุ้มครองสิทธิอยู่ 4 ประการ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นานาประเทศได้ระบุไว้ว่าเป็นสิทธิเด็กได้แก่
1. สิทธิในการอยู่รอด (Survival Rights) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเพื่อการอยู่รอดของเด็กทุกคนจะต้องได้รับ ได้แก่ สิทธิในการบริการสาธารณสุขมาตรฐานความเป็นอยู่ ได้รับบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสังคมสงเคราะห์และการดูแลเอาใจใส่ การประกันสังคม เป็นต้น
2. สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง (Protection Rights) เป็นสิทธิที่เด็กจะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการถูกทำร้าย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ หรือทางเพศ ทางแรงงาน การทารุณโหดร้าย มีส่วนร่วมในสงคราม ภาวะยากลำบาก และรวมไปถึงสิทธิในครอบครัวสิทธิในการมีชื่อและสัญชาติของตนเอง
3. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา (Development Rights) เป็นสิทธิที่เด็กทุกคนจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเพียงพอทั้งด้านโภชนาการ สาธารณสุขมูลฐานและการศึกษาขั้นพื้นฐาน การฝึกอาชีพ นันทนาการ สุนทรียภาพ วัฒนธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
4. สิทธิในการมีส่วนร่วม (Participation Rights) เป็นสิทธิที่ผู้ใหญ่ต้องส่งเสริมให้เด็กได้รับข่าวสารและข้อมูลและเปิดโอกาสให้เด็ก ได้มีส่วนร่วมและแสดง ความคิดเห็นในทุกๆเรื่องที่จะมีผลกระทบต่อเด็ก ทั้งในครอบครัว และชุมชน รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมและการเมือง การปกครอง ฯลฯ
สำหรับประเทศไทยได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็ก เพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิ-เด็ก คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2547 นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับอนุสัญญาฯอีกหลายฉบับ
โลกที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ( A World Fit for Children ) อบอุ่น มั่นคงปลอดภัย เอื้ออาทรต่อเด็ก
ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ สมัยที่ 27 ว่าด้วยเรื่องเด็ก(United Nations General Assembly Special Session on Children หรือ UNGASS) ระหว่างวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2545 มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตาม อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และวางแผนการดำเนินงานด้านเด็กในช่วงปี ค.ศ. 2000 - 2010 ที่ประชุมได้รับรองเอกสารแนวทาง “โลกที่เหมาะสมสำหรับเด็ก” อันมีผลผูกพันให้ประเทศไทยต้องนำแนวทางดังกล่าวมาจัดทำแผนปฏิบัติการของประเทศ ระหว่างปี พ.ศ. 2550-2559 ประกอบด้วยมาตรการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเด็กของประเทศไทย 11 ด้าน ได้แก่
1. ด้านเด็กกับครอบครัว
2. ด้านการส่งเสริมสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของเด็ก
3. ด้านการเสริมสร้างความปลอดภัยและการป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก
4. ด้านการให้ความช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์
5. ด้านการศึกษาสำหรับเด็ก
6. ด้านเด็กกับนันทนาการ
7. ด้านวัฒนธรรมและศาสนา
8. ด้านสื่อมวลชนกับเด็ก
9. ด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็ก
10. ด้านการปกครองคุ้มครองเด็กที่ต้องการการคุ้มครองเป็นพิเศษ
11. ด้านกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวกับเด็ก
โดยสาระสำคัญของทุกมาตรการมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กทุกคนในประเทศไทย ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ให้ได้รับการปกป้อง คุ้มครอง และพัฒนาในทุกด้านอย่างเป็นองค์รวม เพื่อให้ได้เด็กเติบโตได้เต็มศักยภาพของตน
เพื่อให้บรรลุผลตามแนวทางโลกที่เหมาะสมสำหรับเด็ก จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานไว้ 14 ข้อและจัดเป็นยุทธศาสตร์ร่วมในการดำเนินงานพัฒนาเด็กของทุกหน่วยงาน ได้แก่
1. พัฒนาครอบครัวสามารถทำหน้าที่เลี้ยงดูอบรมดูแลลูกหลานให้ได้คุณภาพและทั่วถึง
2. สร้างสิ่งแวดล้อมในสังคมเพื่อเอื้อต่อการพัฒนาเด็ก และขจัดสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อเด็กทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และขัดต่อการส่งเสริมปลูกฝังจริยธรรมที่ดีงามของเด็ก
3. รัฐต้องรับผิดชอบด้านการจัดบริการต่างๆ ให้ทั่วถึงและมีคุณภาพในทุกพื้นที่เพื่อพัฒนาเด็กทุกคนให้มีชีวิตอยู่รอดและได้รับการพัฒนาตามศักยภาพของตนรอบด้าน อันรวมถึงพัฒนาทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ
4. ให้การคุ้มครองเด็กทุกคน และจัดบริการแก้ไขเยียวยาในกรณีที่เด็กต้องประสบปัญหา เด็กถูกล่วงละเมิดสิทธิ หรือต้องประเชิญภัยพิบัติหรือตกเป็นเหยื่อหรือถูกกระทำ หรือเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยไม่เลือกปฏิบัติและต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะตกแก่เด็กเป็นสำคัญ
5. ผลิตและฝึกอบรมบุคลากรที่ทำงานด้านเด็กในรูปแบบและประเภทต่างๆ ให้เพียงพอและมีคุณภาพ รวมทั้งฝึกบุคลากรที่ประจำการอยู่แล้วให้เข้าใจสิทธิเด็กและสามารถบริหารจัดการปรับปรุงคุณภาพบริการได้
6. ปรับปรุงกฎหมาย กฎ และระเบียบให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาสากลต่างๆ ที่รัฐให้สัตยาบันและภาคอนุวัติไว้ และต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ
7. ให้มีการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับเด็กสถานการณ์ที่เกี่ยวกับเด็กโดยสมบูรณ์อย่างเป็นระบบและมีเครือข่าย พร้อมทั้งกำหนดตัวบ่งชี้ชัดเจนและสามารถจัดเก็บและใช้ประโยชน์ได้จริง
8. สนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัย เพื่อเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับเด็ก และสถานการณ์ที่เกี่ยวกับเด็กเพื่อใช้ในการพัฒนาเด็ก และเผยแพร่องค์ความรู้อย่างสม่ำเสมอให้เพียงพอต่อการใช้ประโยชน์ทันต่อเหตุการณ์
9. ปรับปรุงระบบบริหารจัดการรวมทั้งการจัดสรรทรัพยากรทุกด้านตามแผนนี้ให้เพียงพอและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและผลประโยชน์ตกอยู่ที่เด็กอย่างชัดเจนและประเมินผลได้จริง
10. พัฒนาศักยภาพขององค์กรและกลไกที่ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการพัฒนาเด็กแต่ละด้านและให้มีการประสานงานแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในระดับทองถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติเพื่อดำเนินการพัฒนาเด็ก
11. ให้เด็กและผู้ทำงานเกี่ยวกับเด็กได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆทั้งการกำหนดนโยบายการตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ฯลฯ ที่จะมีผลกระทบต่อเด็กทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
12. ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการในเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กหรือมีผลกระทบต่อเด็ก
13. ส่งเสริมสื่อมวลชนให้เข้าใจสิทธิเด็ก และนำเสนอเรื่องเด็กในแนวทางที่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชนเพื่อยังประโยชน์ให้เกิดแก่เด็ก
14. สร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองในทุกระดับที่ให้ความสำคัญเรื่องเด็กและสิทธิเด็ก โดยเน้นการให้สัญญาต่อประชาคมและดำเนินการตามสัญญาอย่างจริงจังเพื่อเด็ก
แต่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ทั้ง 14 ข้อ จะต้องใช้เวลาในการผลักดันให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการในการดำเนินงานหลายขั้นตอนในขณะที่สถานการณ์ที่เป็นปัญหาของเด็กทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน เพื่อเป็นการแก้ไขและป้องกันปัญหามิให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลจึงได้กำหนดวาระ แห่งชาติว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่าง พ.ศ. 2549-2551 ขึ้น ประกอบด้วย
1. ยุทธศาสตร์เสริมพลังครอบครัว
2. ยุทธศาสตร์สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม
3. ยุทธศาสตร์เพิ่มบทบาทและเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็ก
4. ยุทธศาสตร์เสริมพลังปัญญา
5. ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพขององค์กรเครือข่ายและกลุ่มเด็ก/เยาวชน
คาราวานเสริมสร้างเด็ก: จุดเริ่มต้นสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ เป้าหมายของการพัฒนาคนและสังคมที่มีคุณภาพซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ของการเตรียมความพร้อมของประชาชนในทุกด้าน โดยมีเป้าหมายของการพัฒนา คือ การทำให้คนมีความสุขหรือประกอบไปด้วยการมีสุขภาพแข็งแรง ครอบครัวที่อบอุ่น มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีสังคม ที่สันติและเอื้ออาทร
คาราวานเสริมสร้างเด็กจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะเป็นการพัฒนาให้เกิดครามรู้และจริยธรรม เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิด โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมครอบครัวที่อบอุ่น ด้วยการปลูกฝังความรู้ที่ทันโลก และคุณค่าที่ดีงามของวัฒนธรรมไทย สร้างความเข้าใจให้กับพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่ถูกต้อง เหมาะสมตามวัย และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และเป็นสังคมที่ประชาชนมีความสุข ซึ่งสอดคล้องและบรรลุแนวทางโลกที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับคาราวานเสริมสร้างเด็ก
พม. มีภารกิจในการแก้ไขปัญหาทางสังคม ส่งเสริมการพัฒนาของประชาชนกลุ่มต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการพัฒนาสังคม ส่งเสริมการพัฒนาทุนสังคม และพัฒนาหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างเสมอภาคเป็นธรรมและทั่วถึง โดยดูแลกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ ภายใต้วิสัยทัศน์ “ เป็นองค์กรธรรมาภิบาล และกลไกระดับชาติในการสร้างความร่วมมือเพื่อบูรณาการ การพัฒนาสังคม การพัฒนาคุณภาพชีวิต และคืนความเข้มแข็งสู่ชุมชน สร้างสังคมสมดุลบนพื้นฐานความรู้ที่นำไปสู่ความยั่งยืน ”
พม. จึงได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินงานโครงการคาราวานเสริมสร้างเด็กโดยบูรณาการทุกภาคส่วนให้เกิดเวทีเพื่อการเรียนรู้ของ